คุณแม่หลาย ๆ คน คงสงสัยว่า ทำไมเวลาท้องแล้ว ถึงได้กลิ่นอะไรเยอะแยะไปหมด น้ำหอมที่เคยชอบใช้เป็นประจำ จู่ ๆ ก็กลายเป็นฉุนสะอย่างงั้น อาหารที่ปกติเคยชอบกิน ทำไมเวลาได้กลิ่นแล้ว ถึงรู้สึกเวียนหัว อยากอาเจียนตลอดเวลา ? นั่นก็เป็นเพราะว่าอาการ ไวต่อกลิ่น เป็นหนึ่งในอาการแพ้ท้องที่แม่ ๆ หลายคนต้องเจอ วันนี้เรามีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับอาการ และวิธีการรับมือมาฝาก ไปติดตามกันเลย
อาการ ไวต่อกลิ่น เกิดจากอะไรกัน ?
เมื่อคุณแม่เริ่มตั้งครรภ์ สิ่งหนึ่งในร่างกายที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอนเลย คือ ระดับของฮอร์โมนที่สูงขึ้น ในบางคน ก็อาจจะเริ่มได้กลิ่นอะไร ก็เหม็นไปหมด ได้กลิ่นแล้วเวียนหัว อยากอาเจียน หรือในหลาย ๆ คนก็บอกว่า แค่ได้กลิ่นของสามีตัวเอง ก็เหม็นจนอยากอ้วกกันเลยทีเดียว ซึ่งอาการเหล่านี้ เป็นหนึ่งในอาการ แพ้ท้อง ที่ปกติแม่ท้อง หลาย ๆ คนต้องพบเจอขณะตั้งครรภ์
อาการไวต่อกลิ่น
เกิดจาก ระดับฮอร์โมน เอสโตรเจน ระดับฮอร์โมน โกนาโดโทรปิน (hCG) หรือ ฮอร์โมนชนิดอื่น ๆ ในร่างกายของแม่ท้อง เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนดังกล่าว ทำให้ประสาทการรับกลิ่นของแม่ท้องไวมากขึ้น ทั้งยังทำให้กลิ่นต่าง ๆ แรงขึ้นมากกว่าปกติ ส่งผลให้แม่ท้องรู้สึกเวียนหัว คลื่นไส้ และอาเจียนได้ ซึ่งกลิ่นที่คุณแม่ตั้งครรภ์ มักจะได้กลิ่น หรือรู้สึกเหม็นนั้น ส่วนมากจะเป็นกลิ่นอาหาร กลิ่นน้ำหอม หรือกลิ่นต่าง ๆ รอบตัว และจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละคน
บทความที่เกี่ยวข้อง: 5 วิธีแก้คลื่นไส้อาเจียน ปัญหาน่าปวดหัวของคุณแม่ตั้งครรภ์
แพ้ท้อง มีอะไรบ้าง
ด้วยระดับ ฮอร์โมน hCG ที่เพิ่มขึ้น เป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ท้อง เกิดอาการเวียนหัว คลื่นไส้ อยากอาเจียน ซึ่งในส่วนมาก อาการแพ้ท้องของคุณแม่ตั้งครรภ์ จะเกิดขึ้นในช่วงเช้า เรียกว่า Morning sickness และอาการแพ้ท้องนั้น อาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น
- อารมณ์ที่แปรปรวน เพราะฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง
- อยากกินอาหารที่มีรสเปรี้ยว หรือ อาหารแปลก ๆ
- เกิดอาการหิวตลอดเวลา อยากกินนู่น กินนี่ไปหมด
- ปัสสาวะถี่ ปวดฉี่บ่อย ทำให้ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ
- เป็นกรดไหลย้อน ท้องอืด หรือท้องผูก ได้
อาการแพ้ท้องจะเกิดขึ้นในช่วงไหน และจะหายเมื่อไหร่
อาการแพ้ท้องนั้นจะเกิดขึ้นในช่วง สัปดาห์ที่ 6 เป็นต้นไป เนื่องจากร่างกายของแม่ท้อง มีการสร้างฮอร์โมน เอสโตรเจน และ ฮอร์โมน โพรเจสเตอโรน เพื่อให้รกมีการเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ ซึ่งทำให้เกิดอาการแพ้ท้องตามมา
แต่เมื่อตั้งครรภ์มาเป็นระยะเวลาหนึ่ง และรกได้มีการพัฒนาอย่างเต็มที่แล้ว ร่างกายจะสร้างฮอร์โมนเหล่านั้น น้อยลง อาการแพ้ท้องก็จะค่อย ๆ หายไปเอง ในช่วงสัปดาห์ที่ 14 เป็นต้นไป แต่ในแม่ท้องบางคนที่มีระดับฮอร์โมนสูงกว่าปกติ อาจนำไปสู่การแพ้ท้องตลอดระยะเวลาตั้งครรภ์ได้ และหากเป็นเช่นนั้น คุณแม่ก็ควรที่เข้าไปปรึกษาคุณหมอ เพื่อให้ได้รับการรักษา และบรรเทาอาการแพ้ท้องอย่างถูกต้องนะคะ
บทความที่เกี่ยวข้อง: ตั้งครรภ์ 14 สัปดาห์ พัฒนาการทารกในครรภ์ ไตรมาสที่ 2
เคล็ด (ไม่) ลับ รับมืออาการเหม็นสิ่งต่าง ๆ
- ในแม่ท้องที่ได้กลิ่นอาหารรุนแรงขึ้นกว่าปกติ แนะนำให้เลือกรับประทานอาหารที่ไม่มีกลิ่นฉุน เช่น อาหารแห้ง หรือผลไม้ที่ไม่มีกลิ่นฉุน เช่น กล้วย มะละกอ หรือ สับปะรด และอย่าลืมที่จะรับประทานอาหารที่มี วิตามินบี 6 เพราะถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีส่วนช่วยในเรื่องประสาทการรับกลิ่นเท่าไหร่นัก แต่สามารถช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ และแม่ท้องเองก็ไม่ควรปล่อยให้ตัวเองท้องว่าง เพราะจะทำให้คลื่นไส้มากกว่าเดิมได้
- ในแม่ท้องที่ได้กลิ่นอื่น ๆ รอบตัวแรงกว่าปกติ ให้ลดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่นฉุน ไม่ฉีดน้ำหอมไปสักพักจนกว่าอาการจะดีขึ้น หรือแม้กระทั่งการใช้ผลิตภัณฑ์ซักผ้าที่มีกลิ่นอ่อน ๆ จะช่วยได้มาก พูดง่าย ๆ เลยคือการ ไม่นำตัวเองเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมหรือสถานที่ ที่มีกลิ่นเหล่านั้น เพื่อลดสิ่งที่อาจกระตุ้นได้ค่ะ
- และที่สำคัญที่สุดเลย คือ การพักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลตนเองให้มีสุขภาพแข็งแรง รับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนเพียงพอ และดื่มน้ำ เยอะ ๆ จะช่วยลดโอกาสที่จะแพ้ท้องลงได้อย่างดีเลยทีเดียวค่ะ
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับอาการไวต่อกลิ่นของคุณแม่ตั้งครรภ์ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับแม่ท้องที่ประสบกับปัญหานี้อยู่นะคะ อย่างไรก็ตาม เมื่อทราบแล้วว่าอาการแพ้ท้องนี้ เป็นอาการที่หลีกเลี่ยงได้ยากขณะตั้งครรภ์ ดังนั้นตัวคุณแม่เอง เมื่อรู้แล้วว่าตัวเอง เหม็น ไม่ชอบ หรือไวต่อกลิ่นไหนเป็นพิเศษ การหลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่มีกลิ่นเหล่านั้นอยู่จะช่วยลดอาการดังกล่าวได้ดีที่สุดค่ะ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
วิตามินบี 6 มีประโยชน์อย่างไร จำเป็นแค่ไหนสำหรับคนท้อง
ท่านอนคนท้องที่ปลอดภัย ท้องอ่อน ท้องแก่ ต้องนอนแบบไหน ?